คุณเมย์มี ภาวะไขมันพอกตับ สะสมนานถึง 4 ปี จนเริ่มส่งผลต่อสุขภาพและคุณแม่ป่วยเป็นไวรัสตับอักเสบบี ลุกลามจนเป็นตับแข็ง เสี่ยงมะเร็งตับ
ภาวะไขมันพอกตับ (Fatty Liver Disease) คือภาวะที่มีการสะสมของไขมันในเนื้อตับมากกว่าปกติ หากมีไขมันเกิน 5–10% ของน้ำหนักตับ ถือว่าเข้าสู่ภาวะผิดปกติ ซึ่งหากปล่อยไว้โดยไม่ดูแล อาจพัฒนาไปสู่โรคร้ายแรง เช่น ตับอักเสบ ตับแข็ง และมะเร็งตับได้
สาเหตุของภาวะไขมันพอกตับ
- ภาวะนี้มักเกิดจากพฤติกรรมและสุขภาพที่สะสมเป็นเวลานาน เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ มากเกินไป (Alcoholic Fatty Liver) การรับประทานอาหารที่มีไขมัน และน้ำตาลสูง โดยเฉพาะอาหารแปรรูปและฟาสต์ฟู้ด
- ภาวะอ้วน น้ำหนักเกิน หรือมีไขมันในช่องท้องมาก
- โรคเบาหวาน และภาวะดื้อต่ออินซูลิน
- การใช้ยาบางชนิดติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้ส่งผลต่อตับ
- การพักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียด และการขาดการออกกำลังกาย
อาการของไขมันพอกตับ
ระยะแรกมักไม่แสดงอาการชัดเจน หลายคนจึงไม่รู้ตัว แต่เมื่อภาวะรุนแรงขึ้น อาจมีอาการดังนี้
- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ไม่มีแรง
- แน่นท้อง หรือเจ็บชายโครงขวา
- เบื่ออาหาร คลื่นไส้
- นอนไม่หลับ หลับไม่สนิท
หากปล่อยไขมันพอกตับไว้ เสี่ยงอะไรบ้าง
หากไม่ดูแลสุขภาพ ไขมันพอกตับ อาจลุกลามกลายเป็น
- ไขมันพอกตับ (NAFLD) – ไขมันที่พอกตับ ทำให้เซลล์ตับถูกทำลาย
- พังผืดในตับ (Fibrosis) – เนื้อตับแข็งตัวบางส่วน ทำให้ตับทำงานไม่เต็มที่
- ตับแข็ง (Cirrhosis) – ตับเสื่อมถาวร สูญเสียการทำงาน
- มะเร็งตับ – ภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายที่สุด
วิธีดูแลและป้องกันไขมันพอกตับ
- ควบคุมอาหาร ลดของมัน ของทอด น้ำตาล และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 4 ครั้งต่อสัปดาห์
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- ตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อดูค่าการทำงานของตับ
- เลือกเสริมสารอาหารที่ช่วยบำรุงตับ เช่น พรูนัส มูเม่ (Prunus mume) ซึ่งมีการวิจัยว่าช่วยลดการอักเสบ ลดค่าตับ และลดไขมันพอกตับ
ภาวะไขมันพอกตับ แม้จะไม่ใช่โรคที่แสดงอาการทันที แต่ถือเป็น “ภัยเงียบ” ที่ค่อยๆ ทำลายสุขภาพ หากดูแลตั้งแต่เนิ่นๆ ด้วยการปรับพฤติกรรมและบำรุงตับอย่างถูกวิธี ก็จะช่วยป้องกันโรคร้ายแรงในอนาคตได้

